วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิชาชีพสถาปนิกในทัศนคติของข้าพเจ้า



วิชาชีพสถาปนิกในทัศนคติของข้าพเจ้า


การที่ได้มาเรียนในคณะนี้ คำนิยามที่ใกล้เคียงที่สุด น่าจะเป็นคำว่า “บังเอิญ” คำว่าบังเอิญในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า “พลาด” ที่เข้ามา แต่มันเกิดจากอะไรหลายๆอย่าง ถ้าจะให้เริ่มเล่าคงต้องเริ่มจากสมัยก่อนนู้น ตั้งแต่พอเริ่มจำความได้เลยแล้วกัน 


ชีวิตนี้เริ่มวาดรูปตอนไหน? จำความได้ก็นั่งดูพี่ชายวาดรูป สักพักเราก็เริ่มละเลงเลียนแบบไปตามฝาผนังบ้าน โตขึ้นอีกนิดจากฝาบ้านก็กลายเป็นหนังสือเรียน จำได้แค่ว่าชอบวาดรูปเท่านั้นจริงๆ ยังไม่มีคำว่า “สถาปนิก” อยู่ในหัวเลย


เริ่มรู้จักอาชีพนี้ตอนมัธยมปลาย บังเอิญได้ไปอยู่บ้านสถาปนิกและผู้รับเหมาก่อสร้างมาปี บ้านเขาเหมือนกับห้องสมุดหนังสือเรื่องบ้านยังไงยังงั้น เต็มชั้นไปหมด จากมองผ่านๆก็เริ่มหยิบมาดูพลิกไปพลิกมา อ่านแล้วไม่เข้าใจ รู้ว่ารูปสวยแค่นั้น แต่ก็เริ่มบันทึกอาชีพนี้ไว้ในสมองแล้วว่า “น่าสนุก”
 

ชีวิตถึงจุดเปลี่ยนตอนสอบแอดมิดชั่น ไม่ได้สอบตรงเพราะไม่ตั้งใจเข้าสถาปัตย์เท่าไหร่ แต่ก็ลองสอบความถนัดไว้ อยากลองดูว่าการวาดรูปอย่างจริงจังเป็นยังไง แต่ทำไมมันบังเอิญได้คะแนนมากกว่าวิชาที่ตั้งใจไว้ก็ไม่รู้ พอถึงตอนเลือกอันดับ ความคิดอยากลองเรียนคณะนี้มันก็มีอยู่ในหัวแล้ว แต่มันติดตรงที่เราไม่เคยเรียนมีพื้นฐานเลย แต่ก็เลือกไว้เพราะไม่รู้จะเลือกอะไร ยังไงคงไม่ติดหรอก เพราะคะแนนมันสูงสุดเลยจากอันดับที่เลือก....บังเอิญติดซะงั้น


ไหนๆก็บังเอิญติด ก็ลองเรียนดูสักตั้งนึง เข้ามาเรียน ชีวิตแรกเริ่มแอบลำบาก เราไม่มีพื้นฐานเลยนี่นา เริ่มจากศูนย์ กว่าจะตามเขาทันเหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็ไม่ลำบากมากกว่าที่คิด ปีแรกน้องใหม่ แอบตื่นเต้นกับโลกใหม่ เจอเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ เจอรุ่นพี่ใหม่ๆ ตอนนั้นดูเบลอๆเขาสั่งอะไรก็ทำหมด เป็นปีที่มีเวลาว่างมากที่สุด ไม่มีข้อจำกัดมากมาย งานสร้างสรรค์ได้เต็มที่ ชีวิตมีความสุข 


ปีสองเริ่มเป็นพี่ สนิทกับเพื่อนมากขึ้น ทำกิจกรรมอะไรก็ดูสนุกกว่าเมื่อก่อน เขาว่ากันว่าปีนี้งานเยอะ แต่เราแทบไม่รู้สึก ทำไมไม่รู้


ปีสามเริ่มรู้สึกว่าว่างอีกครั้ง เหมือนงานมันน้อยลง หรือเราปรับตัวได้ก็ไม่ทราบ แต่มีเวลาว่างพอจะหายตัวไปเที่ยวไหนต่อไหนหลังเลือกเรียนได้ เหมือนได้ใช้เวลานอกห้องเรียนกับเพื่อนมากขึ้น
 

ปีสี่ที่เรียนอยู่ เขาว่าหินก็หินจริงๆ เหมือนเอาทุกวิชาที่เรียนบ้างไม่เรียนบ้างตั้งแต่ต้นมาประยุกต์ใช้ทั้งหมด ใครทำกรรมดีก็ได้ดี ใครทำกรรมชั่วก็ได้ชั่ว เหมือนเราเป็นพวกกรรมกลางๆ จำได้บ้างไม่ได้บ้างต้องทวนอีกเยอะ จนกระทั่งตอนนี้ เหมือนชีวิตต้องจัดสรรเวลามากขึ้น เวลาเล่นน้อยลง ท่าทาง ”ต้องเริ่มเป็นผู้ใหญ่” แล้วสิ


กว่าจะกลายเป็นผู้ใหญ่ต้องเรียนจบ กว่าจะเรียนจบต้องทำทีสิส เป้าหมายอยากทำโรงเรียน ไม่รู้เหตุผลแท้จริง รู้แค่อยากทำ งานอดิเรกเราคือกินอาหารอร่อย ชอบทำนิดหน่อย ใครๆก็อยากกินของอร่อยทั้งนั้น เลยคิดว่าทำโรงเรียนสอนทำอาหารท่าจะดี เหมือนเราได้ผลพลอยได้จากการเรียน ทำแล้วมีความสุขเหมือนทำงานอดิเรก มีเหตุผลทางวิชาการรองรับอยู่เหมือนกันว่าควรทำโรงเรียนสอนทำอาหาร แต่เหตุผลมากจากความอยากล้วนๆ
 
ถ้าได้เรียนจบอย่างมีความสุข อยากทำอาชีพสถาปนิกต่อ ไม่ต้องถึงกับเป็นเจ้าของบริษัท เพราะรู้ว่าตัวเอาไม่มีหัวการค้าหรือบริหารธุรกิจ อยากเป็นลูกจ้างบริษัทเล็กๆ แต่ของมั่นคงหน่อย อย่าถึงกับให้ลุ้นทุกสิ้นเดือนว่าจะมีเงินเข้ามั้ย อีกใจหนึ่งก็อยากจะเรียนต่อเหมือนกับชีวิตนี้ยังอยากเรียนต่อ อาจจะเป็นการตลาดหรือไม่ก็เรียนสายสถาปัตย์ต่อ คงต้องรออนาคต


การทำงานในอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ที่แน่ๆที่ทำงานในฤดูร้อนที่จะถึงนี้ต้องเป็นฤดูการฝึกงานอย่างแน่นอน ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ฝึกที่ไหน ฤดูร้อนสองปีที่ผ่านมาเคยฝึกกับบริษัทเล็กๆมาแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากหาประสบการณ์กับบริษัทใหญ่ดูสักครั้ง เผื่อว่าระบบการทำงาน การวางแผนงาน โปรเจคการออกแบบจะแตกต่างไปจากที่เคยทำมา จะได้เปรียบเทียบกันว่าคิดถูกหรือไม่ว่าถ้าจบแล้วอยากทำบริษัทเล็กๆ


ถ้าเลือกได้ ชีวิตนี้อยากทำงานและมีชีวิตอยู่แบบอาจารย์จิ๋ว รศ. วิวัฒน์ เตมียพันธ์ เพราะท่านเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ แต่ไม่เคยอวดรู้ ใช้ความสามารถที่มีอยู่สั่งสอนลูกศิษย์ ไม่เฉพาะแต่ความรู้ แต่ยังสอนการใช้ชีวิต ท่านใช้ชีวิตเพื่อทำงานที่รักมาตลอด  เป็นชีวิตที่น่ายกย่อง น่านับถือ และน่าอิจฉาไปพร้อมๆกันว่าสักวันหนึ่ง เราจะเป็นได้อย่างท่านรึเปล่า ผลงานสถาปัตยกรรมที่ชอบนั้น ส่วนใหญ่เป็นงานสเกลเล็กๆ จำพวกบ้าน เพราะชอบตรงที่ต้องใจความละเอียดอ่อนในการออกแบบ อีกทั้งยังเป็นสถาปัตยกรรมที่สัมผัสกับชีวิตคนเราโดยตรง เช่น บ้านของ Frank Lloyd Wright, Eames House ฯลฯ ซึ่งเป็นงานที่คนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในนั้นได้จริง ไม่ตามใจสถาปนิก


คุณพ่อก็เป็นส่วนหนึ่งของกำลังใจในการเรียนตลอดมา ถึงสายงานท่านจะไม่สามารถสอนเราได้ทางตรง ด้านการออกแบบสถาปัตย์ แต่เรื่องงานระบบต่างๆภายในอาคาร พ่อรู้มากกว่าเราอีกเพราะท่านเป็นวิศวกร ถึงแม้บ้างครั้งพ่อจะสอนลึกจนเกินความเข้าใจ แล้วเราทำหน้างงๆไปบ้างบางครั้ง แต่ก็รู้สึกขอบคุณคุณพ่อมากๆ สำหรับความรู้และกำลังใจที่มีให้

เรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว เราคงเป็นจุดเล็กๆของสังคมที่อย่างน้อยไม่ขอบุกรุกอุทยานแห่งชาติ ตัดต้นไม้ทั้งเกาะ หรือระเบิดภูเขาเพื่อสร้างรีสอร์ท บ้านพักตากอากาศให้คนที่เขาเห็นแก่ตัวก็พอแล้ว

นานา บุญรอดชู
52020044